ประวัติ ของ วัดมหาชัย (จังหวัดมหาสารคาม)

วัดมหาชัย (พระอารามหลวง) เดิมชื่อ “วัดเหนือ” เป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองมหาสารคาม ตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2408 ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ โดยพระเจริญราชเดช (กวด) เจ้าเมืองมหาสารคามคนแรก ร่วมกับประชาชนชาวมหาสารคามช่วยกันสร้างขึ้นให้เป็นวัดประจำเมือง ตั้งอยู่บนเนื้อที่ 10 ไร่ 3 งาน 82 ตารางวา มีพระยาครูสุวรรณดี ศีลสังวร เป็นเจ้าอาวาสรูปแรก ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2472 พระสารคามมุนี (สารภวภูตานนท์) เจ้าอาวาสวัดรูปที่ 18 เป็นเจ้าคณะจังหวัดมหาสารคามได้ขอเปลี่ยนชื่อจาก “วัดเหนือ” เป็น “วัดมหาชัย” และเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2527 วัดมหาชัยได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้ยกฐานะขึ้นเป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดสามัญและโปรดเกล้าฯ พระราชทานผ้ากฐินให้ส่วนราชการระดับกระทรวง ทบวง กรม อัญเชิญมาทอดถวายเป็นประจำทุกปี เมื่อพุทธศักราช 2519 กรมการศาสนาอนุญาตให้จัดตั้งเป็น “ศูนย์วัฒนธรรมท้องถิ่นภาคตะวันออกเฉียงเหนือ” หรือหอพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น สำหรับเก็บรักษาและจัดแสดงโบราณวัตถุ

ปี พ.ศ. 2482 ทางรัฐบาลได้มีนโยบายให้มีการเปลี่ยนชื่อวัดทุกวัดในประเทศไทย เวลานั้นเจ้าคุณพระสารคามมุนี เป็นเจ้าคณะจังหวัดมหาสารคามและเจ้าอาวาส จึงได้ขอเปลี่ยนชื่อวัดเหนือมาเป็น “วัดมหาชัยมหาสารคาม” เพื่อเป็นการถูกต้องตามสภาพภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ซึ่งได้มีพัฒนาการมาดังนี้

เริ่มจากในปี พ.ศ. 2404 พระขัติยวงษา (จันทร์) เจ้าเมืองร้อยเอ็ดมีใบบอกทูลเกล้า ขอบ้านลาดนางใยเป็นเมืองโดยขอท้าวมหาชัย(กวด) เป็นเจ้าเมือง ขอท้าวบัวทองเป็นอัครฮาด ขอท้าวไชยะวงศา(ฮึง) เป็นอัครวงศ์ และขอท้าวเถื่อน เป็นอัครบุตร ไปยังกรุงเทพฯ เพื่อกราบบังคมทูลเกล้าฯ

ในปีเดียวกันนี้ท้าวมหาชัย(กวด) และท้าวบัวทอง จึงดำเนินการสำรวจสถานที่พร้อมวางแผนผังบริเวณโคกเนินสูงริมตะวันตกบ้านกุดนางใยที่จะสร้างเมือง เพื่อเป็นการเหมาะสมเมื่อสร้างเมืองจะได้ถูกต้องตามแปลนแผนผังที่วางไว้ โดยวางสถานที่ผังหลักเมืองซึ่งได้แก่หลักเมืองมหาสารคามในปัจจุบัน ที่ตั้งวัดประจำเมืองนั้นสร้างขึ้นที่กึ่งกลางของโนนเมืองวัดจากกุดนางใยไปยังหลักเมืองมีดังนี้

ทิศตะวันออกกว้าง 3 เส้น 18 วา

ทิศตะวันตกกว้าง 3 เส้น 18 วา

ทิศเหนือยาว 5 เส้น 15 วา

ทิศใต้ยาว 4 เส้น 12 วา

ซึ่งพื้นที่ตั้งวัดนั้นกว้างยาวเหมือนชายธง ในปีที่มีการบุกร้างถางพงนั้น ท้าวมหาชัย(กวด) ได้สร้างกุฏิ 1 หลัง หอฉัน 1 หลัง ศาลาการเปรียญ(หอแจก) 1 หลัง เป็นเพียงสำนักสงฆ์ ประชาชนเรียกว่า “วัดเหนือ” เพราะตั้งอยู่ทางเหนือน้ำโดยถือเอาทางน้ำไหลเป็นเครื่องหมาย

พ.ศ. 2408 มีพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ยกบ้านลาด – กุดนางใย เป็น “เมืองมหาสารคาม ” และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ท้าวมหาชัย(กวด) เป็นพระเจริญราชเดชวรเชษฐมหาขัติยพงศ์ รวิวงศ์สุรชาติ ประเทศราชธำรักษ์ ศักดิ์กิติยศเกรียงไกร สรีวิชัยเทพวรฤทธิ์ พิษนุพงศ์ปรีชา สิงหบุตร สุวัฒนานคราภิบาล จึงพร้อมด้วยท้าวเพียสร้างวัดมหาชัยต่อเติม

กรมการเมืองท้าวเพียเมืองมหาสารคามเห็นดีเห็นชอบในการตั้งวัดมหาชัย ซึ่งเจ้าเมืองได้วางแผนเอาไว้แล้ว แม้สารตราตั้งเมืองปรากฏว่าตั้งขึ้นเมื่อปีฉลู สัปศก จ.ศ.1227 ตรงกับวันที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2408 โดยที่พระราชทานมาเจริญราชเดช(กวด) พร้อมด้วยกรมการเมืองและท้าวเพียดำเนินการก่อสร้างโดยความพร้อมเพรียง

ครั้นต่อมาเมืองมหาสารคามมีผู้ย้ายมาจากหัวเมืองต่างๆ มาประกอบทำมาหาเลี้ยงชีพมากขึ้น ต่างพากันขอปลูกบ้านเรือนในบริเวณด้านตะวันตกของวัด มีบ้านเรือนของญาติโยมผู้อยู่มาโดยลำดับ ทางวัดหาเจ้าอาวาส สมภารเป็นหลักได้ยาก บางปีก็หาสมภารไม่ได้ ขาดสมภารเจ้าอาวาสวัดหลายปีจึงเป็นเหตุให้ชาวบ้านปลูกบ้านเรือนอาศัยที่วัดตลอดมา

พ.ศ. 2470 เจ้าคุณสารคามมุนี เห็นว่าพัทธสีมาหลังเก่านี้คับแคบไม่พอแก่พระภิกษุสงฆ์ – สามเณร ทำกิจวัตรเช้า – เย็น เพราะบรรจุได้เพียง 25 รูป จึงสร้างพัทธสีมาหลังใหม่เมื่อปี พ.ศ. 2470

ศาลาการเปรียญ สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2482 เสร็จเมื่อปี พ.ศ. 2497

ปัจจุบันวัดมหาชัยมีเนื้อที่ตั้งทั้งหมด 10 ไร่ 3 งาน 82.7/10 ตารางวา โฉนดเลขที่ 1682 มีที่ธรณีสงฆ์จำนวน 4 แปลง เนื้อที่ 3 ไร่ 2 งาน 85 ตารางวา โฉนดเลขที่ 366,417 และ1567

นอกจากนั้น ในบริเวณวัดยังมีต้นไม้ที่หาดูได้ยากคือ ต้นสาละ ซึ่งเป็นต้นไม้ที่พระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานใต้ต้นไม้นี้ ซึ่งทางวัดได้รับมอบจากอธิบดีกรมการศาสนานำมาปลูกตั้งแต่ปี 2509

ชาวบ้านยึดที่ดินวัด

ครั้นต่อมาเจ้าอาวาสองค์ที่ 13 ชื่อพระโสม เกิดมีคฤหัสถ์คนหนึ่งซึ่งอาศัยอยู่ในวัดทำผิดกฎหมายบ้านเมือง ฟ้องร้องคดีถึงเจ้าเมือง ตุลาการปรับไหมตามกฎหมายซึ่งสมัยนั้นเจ้าเมืองตัดสินคดีความ เจ้าเมืองลงโทษให้ทำเขื่อนวัดแทนการปรับไหม และบังเอิญการปรับไหมให้ทำเขื่อนวัดนั้นมีกำหนดปักเสาเขตล้นวัดเข้ามา คือล้อมเอาเฉพาะเขตแดนที่พระสงฆ์พำนักเท่านั้น ไม่ให้ผู้ถูกปรับไหมทำเขื่อนยาวตามอาณาเขตเดิมของวัด ภายหลังล่วงมาหลายปี กลุ่มคนที่ขอปลูกบ้านเรือนในที่วัดนั้นได้รุกเอาที่ดินของวัดด้านทิศตะวันตกและทิศเหนือเป็นส่วนมาก